ภาพแผ่นดินเหนียวบันทึกอักษรคิวนิฟอร์ม ชาวสุเมเรียนโบราณ
ภาพวิหารของชาวสุเมเรียน Guto-Sumerian Ziggurat
Enki เทพโบราณผู้ถุกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งความรู้และปัญญา
รูปปั้นของเทพเจ้าที่พบในโบราณสถานที่ U-Baid ประเทศอิรัก
หน้าตาประหลาด สวมหมวกทรงประหลาด(คล้ายนักบินอวกาศ)
ภาพน่าสนใจจากหนังสือ DevineEncouters ของ Zecharia Sitchin
วัตถุโบราณที่ถูกขุดพบในแหล่งอารยธรรมสุเมรียน
สุเมเรียนอารยธรรมแบบปุบปับ ..........ตอนที่นโปเลียนมาถึงอียิปต์ในปี 1799 ท่านจอมคนได้นำนักปราชญ์ราชบัณฑิตติดมาด้วยเข่งหนึ่ง เพื่อที่จะทำการศึกษาโบราณสถานของอียิปต์ อันได้แก่หมู่ปิระมิด เมืองโบราณซึ่งจมอยู่ใต้กองทราย สัตว์ผู้พิทักษ์รูปร่างประหลาดที่เรียกกันว่าสฟิงซ์ หนึ่งในทีมสำรวจค้นพบศิลาโบราณใกล้ๆเมืองโรเซตตา อายุของศิลาหลักนี้นับย้อนหลังไปถึง 200 ปีก่อนคริสตกาล เหล่านักปราชญ์รู้สึกประหลาดใจกับอักขระไฮโรกลิฟิกที่จากรึกอยู่บนนั้น และเมื่อสำรวจต่อไปพวกเขาก็พบศิลาโบราณเพิ่มเติมอีกสองหลัก
..........ความมหัศจรรย์ของภาษาโบราณแห่งอียิปต์ที่ไม่มีใครอ่านออก(ในตอนนั้น) ทำให้เริ่มมีการสำรวจพื้นที่อย่างเอาจริงเอาจัง เหล่าผู้พิชิตจากยุโรปเริ่มตระหนักว่าอารยธรรมบนแผ่นดินไอยคุปต์ มีอายุยาวนานกว่าอารยธรรมกรีกที่พวกเขาภูมิใจนักหนาเสียอีก บันทึกประวัติศาสตร์ของอียิปต์เองก็เริ่มต้นราชวงศ์แรกเมื่อ 3100 ปีก่อนคริสตกาล สองสหัสวรรษเต็มๆก่อนยุครุ่งเรืองของอารยธรรมเฮลเลนิคในยุโรป ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีก 4-5 ศตวรรษกว่าจะมาถึงจุดที่เรียกได้ว่าเจริญสูงสุดอย่างแท้จริง
ด้วยความเก่าแก่นี้ หรืออียิปต์จะเป็นจุดกำเนิดแห่งอารยธรรมของมนุษยชาติ?
..........ตอนแรกใครๆก็คิดอย่างนั้น จนกระทั่งเวลาต่อมานักโบราณคดีได้รู้จักดินแดนในตะวันออกกลาง นับระยะทางแล้วก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากอียิปต์เลย ดินแดนแห่งนั้นรู้จักกันในนามของซูเมอร์ (Sumer) ชื่ออื่นๆที่ใช้เรียกกันก็มี Sumer, Shumer, Sumeria, Southern Mesopotamia
..........ดินแดนนี้เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมมากมายต่อเนื่องกันมา ที่พวกเราคุ้นหูกันก็ได้แค่ อารยธรรมสุเมเรียน อัคเคเดียน บาบิโลเนียนเป็นต้น อารยธรรมเหล่านี้เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้ที่อียิปต์ พวกเขามีภาษาพูดภาษาเขียนเป็นของตนเอง โดยเฉพาะภาษาเขียนที่จารึกไว้บนแผ่นดินเหนียวหรือคิวนิฟอร์มของพวกเขานี่ที่ทำให้เราแกะรอยย้อนเวลาไปสู่ความรุ่งเรืองแต่ครั้งนั้นของพวกเขาได้
..........หนึ่งในการค้นพบจารึกโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแวดวงโบราณคดีได้แก่
การค้นพบห้องสมุดที่นิเนเวห์(Nineveh) นักโบราณคดีพบจารึกดินเหนียวมากกว่า 25,000 ชิ้น ในบรรดาจารึกเหล่านั้นมีไม่น้อยเหมือนกันที่ระบุเอาไว้ว่า เนื้อหาทั้งหลายไม่ได้มาจากสมองของคนเชียน หากแต่คัดลอกจากเอกสารโบราณของบรรพบุรุษอีกต่อหนึ่ง อารยธรรม Sumer
มีแผ่นจารึกอยู่ราว 20 แผ่นที่มีหมายเหตุกำกับเอาไว้เป็นภาษาโบราณแปลออกมาได้
..........ชื่อที่แท้จริงของดินแดนนี้ควรอ่านว่าชูเมอร์ไม่ใช่ซูเมอร์ เมื่อก่อนนี้นักโบราณคดีสับสนมากครับ ว่าอารยธรรมที่พวกเขาค้นพบในดินแดนเมโสโปเตเมียโบราณนั้น ชนชาติที่เป็นเจ้าของอารยธรรมคือใคร พวกเขาสืบสายพันธุ์มาจากมนุษย์วงศ์ไหน เหตุใดจึงรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างกระทันหันและล่มสลายไปอย่างปุบปับเช่นนั้น ช่วงแรกๆของการศึกษาอารยธรรม Sumer นั้น นักโบราณคดีตีอกชกหัวไปตามๆกัน เนื่องจากรื้อก็แล้ว ขุดก็แล้ว สอบถามคนเก่าคนแก่ก็แล้ว พวกเขาไม่เจอเอกสารที่กล่าวถึงที่มาชนชาติสุเมเรียนเลย
.......... ความจริง Sumer ไม่ใช่ดินแดนปริศนาอะไรเลย ในเอกสารเก่าแก่อย่างไบเบิลได้ ระบุถึงดินแดนนี้อย่างชัดเจนในฐานะที่ตั้งเมืองหลวงของชาวบาบิโลน, อัคเคด และอีเรช ไบเบิลระบุชื่อของดินแดนเอาไว้ว่า The Land of Shi'ar หรือ Shinar
..........การขุดค้นโบราณสถานครั้งสำคัญของอารยธรรมสุเมเรียนเริ่มขึ้นในปี 1877 โดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ผลจากการขุดค้นทำให้ต้องมีการสำรวจเพิ่มเติมอย่างมโหฬาร พื้นที่ของอาณาจักรนี้ ไม่ใช่เล็กๆ จากไซต์สู่ไซต์ จากเมืองแรกสู่เมืองที่สอง สร้างความพิศวงงงงวยแก่ทีมสำรวจเป็นล้นเหลือ โปรเจ็คนี้ยุติลงในปี 1933 ทั้งที่ยังเหลืองานที่ต้องสำรวจอยู่อีกเยอะ แต่ทีมสำรวจไม่ได้มีทีมเดียว นักโบราณคดีในสังกัดอื่นยังคงทำงานของพวกเขาอย่างไม่ย่อท้อ อาณาบริเวณของ Sumer กินดินแดนครอบคลุมทั้ง อิหร่าน อิรัก จอร์แดน ตุรกี
..........Zecharia Sitchin เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยอมเสี่ยงชีวิตในการสำรวจดินแดนนั้น เรียกว่าปราชญ์ด้านภาษาโบราณคนหนึ่งเลยทีเดียว Sitchin ทำการศึกษาโบราณสถาน, แผ่นจารึกที่เรียกว่า Seals, เอกสารที่เขียนด้วยอักษรลิ่ม(Cuneiform)จนแตกฉาน
..........Sitchin เริ่มต้นงานอย่างนักโบราณคดีสมัครเล่นจนก้าวสู่มืออาชีพ Sitchin อดพิศวงกับนิสัยช่างจดบันทึกของชาวสุเมเรียนไม่ได้ เพราะชนชาตินี้บันทึกอะไรเอาไว้แบบจิปาถะ เมื่อเทียบกับอารยธรรม อื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีภาษาเขียนไว้เพื่อจดจารงานสำคัญเช่น คำสอนทางศาสนา หรือตัวบทกฏหมายเท่านั้น
..........บันทึกของคนโบราณเหล่านี้แสดงให้เห็นความรุ่งเรืองทาง วัฒนธรรมของพวกเขา มันสร้างความตื่นใจให้กับนักโบราณคดีไม่แพ้ซิกกูรัตหรือโบราณสถานอื่นๆ
..........นักโบราณคดีบางคนกล่าวไว้อย่างน่าฟังครับว่า การศึกษาอารยธรรมในดินแดนแถบนั้นเหมือนการค้นพบภูเขาน้ำแข็งในทะเล เริ่มแรกเห็นแต่ยอดกระจิ๋วที่ลอยปริ่มอยู่เหนือน้ำ ครั้นพอสำรวจเข้าจริงๆก็พบว่าความจริงแล้วเนื้อที่อันมหึมาของมันซ่อนอยู่ ใต้น้ำต่างหาก
..........ในฐานะอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดบนผืนพิภพ สุเมเรียนไม่เพียงแต่มีสถาปัตยกรรมอันน่าพิศวง แต่ภาพวาดและงานเขียนของพวกเขาก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน โดยเฉพาะภาพประดิษฐ์ที่ทำเป็นตราสัญลักษณ์หรือผนึก(Cylinder Seal)นั้น นอกจากจะแสดงถึงตัวตนของพวกเขา ยังเป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณของมนุษย์ชาติพันธุ์นี้อีกด้วย
..........ปกติงานศิลปะของมนุษย์ยุคโบราณจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของศาสนาอย่างแยกกันไม่ ออก ชาวสุเมเรียนไม่เพียงแต่สร้างงานทางศาสนาเท่านั้น พวกเขายังมีศิลปะที่บอกเล่าถึงการเกษตร การรังวัดที่ดิน การคำนวณราคาของผลผลิต ซึ่งแสดงถึงความรู้ทางคณิตศาสตร์อันสูงส่งของพวกเขา ตัวอย่างของความรุ่งเรืองแห่งอาณาจักรสุเมเรียนได้แก่
* การคิดค้นอิฐเผาสำหรับก่อสร้าง
* อุตสาหกรรมเครื่องทอขนาดใหญ่
* การเก็บเกี่ยวและถนอมผลผลิตทางการเกษตร
* ศิละในการประกอบอาหาร
..........ชาวสุเมเรียนยังเป็นชนชาติแรกที่เริ่มทำการค้าขาย พวกเขารู้จักการเดินทะเล การประมง พวกเขาไปกันไกลที่สุดเท่าที่เรือจะพาพวกเขาไปได้ มีการดำน้ำเพื่อลงไปค้นหาทรัพยากรแปลกๆ สำรวจเกาะแก่งที่ยังไปไม่ถึง เพื่อค้นหาแร่ธาตุ โลหะ หิน หรือแม้กระทั่งพันธุ์ไม้ที่หาไม่ได้ในดินแดนของพวกเขา
ภาพวิหารของชาวสุเมเรียน Guto-Sumerian Ziggurat
Samuel N. Kramer หนึ่งในนักสุเมเรียนวิทยา(Sumerologist)ได้แจงรายละเอียดของความเป็นผู้ริ เริ่มในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งตกทอดมาสู่สังคมของเราในยุคปัจจุบันไว้มากมาย ความเป็นเจ้าแรกหรือผู้ริเริ่มของชาวสุเมเรียนเท่าที่เราค้นพบกันนั้นได้แก่
ี
* โรงเรียนหรือสถานศึกษาเป็นเจ้าแรก
* มีสภานิติบัญญัติอันประกอบด้วยฝ่ายบริหารและฝ่ายค้านเป็นเจ้าแรก
* มีนักประวัติศาสตร์และการเขียนประวัติศาสตร์เป็นเจ้าแรก
* มีตำราเภสัชกรรมเป็นเจ้าแรก
* มีตารางกิจกรรมทางการเกษตรตลอดปีเป็นเจ้าแรก
* ศึกษาเรื่องจักรวาลวิทยาและโหราศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับดวงดาวเป็นเจ้าแรก
* มีการจ้างงานและค่าตอบแทนแรงงานในสังคมเป็นครั้งแรกของโลก
* มีการบันทึกสุภาษิตและสุนทรพจน์
* มีการถกประเด็นต่างๆในห้องสมุดหลวงเป็นเจ้าแรก
* เรื่องราวของน้ำท่วมโลกและวีรบุรุษสไตล์โนอาห์มีเล่าอยู่ทั่วทุกมุมโลก แต่ที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ที่นี่
* มีบัญญัติกฏหมายและการจัดระเบียบทางสังคมเป็นเจ้าแรก
* และอื่นๆอีกมากมาย
..........สิ่งเหล่านี้ยังคงตกทอดมาถึงพวกเราในยุคปัจจุบัน เราแบ่งโลกออกเป็น 360 องศาตามแบบสุเมเรียน, นับเวลาด้วยชั่วโมงและนาทีตามแบบของพวกเขา ยกเว้นระยะเวลาของการดำรงอยู่บนโลกซึ่งแตกต่างกันแล้ว อาจกล่าวได้ว่า เราและเขาไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย
..........ในปี 1919 กระทาชายนาม H. R. Hall เดินทางมาถึงซากปรักหักพังของโบราณสถานใกล้หมู่บ้านที่เรียกกันว่า เอล-ยูเบด ชื่อของไซต์นี้ถูกตั้งขึ้นตามนักปราชญ์โบราณซึ่งกล่าวอ้างถึงอารยธรรมสุเม เรียนเป็นคนแรก นครของสุเมเรียนสมัยนั้นกินอาณาบริเวณจากเมโสโปเตเมียตอนเหนือจรดตีนเขาซาก รอนในตอนใต้ เป็นผู้ริเริ่มการทำอิบเผา กำแพงฉาบปูน ภาพประดับแบบโมเสค
..........สุสานหลวงที่ประดับประดาอย่างสวยงาม มีการใช้กระจกเงาที่ทำจากทองแดงขัด ผลิตภัณฑ์จากอัญมณีนานาชนิด มีการผลิตเครื่องทอ เครื่องเรือน และเหนืออื่นใด มีการสร้างอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่จนยากจะเชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มาจาก ฝีมือของคนโบราณเมื่อครั้งกระโน้น
..........ไกลออกไปทางตอนใต้ นักโบราณคดีค้นพบเอริดู นครแห่งแรกของชาวสุเมเรียน(ตามที่เคยมีอ้างอิงไว้ในเอกสารโบราณ) ขุดกันอย่างบ้าเลือดพักหนึ่งพวกเขาได้พบกับวิหารโบราณ ซึ่งจารึกเอาไว้ว่าสร้างเพื่ออุทิศแด่เทพเอนกิ (Enki) เทพเจ้าแห่งความรู้ของซูเมอร์ วิหารแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกรุงทรอยอยู่ประการหนึ่ง คือมันถูกสร้างถูกบูรณะทับของเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก ผลจากการศึกษาทำให้นักโบราณคดีย้อนอายุของอารยธรรมสุเมเรียนจากร่องรอยของ การบูรณะวิหารแห่งนี้ไปจนถึง 2500, 2800, 3000 และ 3500 B.C. ตามลำดับ
..........พวกเขาขุดจนกระดั่งถึงดินชั้นล่างสุด ซึ่งเป็นดินบริสุทธิ์ไม่มีร่องรอยสิ่งก่อสร้างใดๆ อายุของดินชั้นนั้นอยู่ที่ประมาณ 3800 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเราอาจสรุปผลจากการสำรวจนี้ว่าอารยธรรมสุเมเรียนน่าจะรุ่งเรืองขึ้นใน ช่วงนั้น
..........นี่ไม่เป็นเพียงอารยธรรมแรกที่พวกเราตัดสินได้จากสามัญสำนึก เท่านั้น หากแต่ยังมีผลแตกแขนงให้กับอารยธรรมอื่นทั่วทุกมุมโลก มันน่ามหัศจรรย์ตรงที่ว่า ชาวซูเมอร์ไม่เพียงแต่มีความเจริญรุ่งเรืองในท้องถิ่นของตนเท่านั้น พวกเขายังคงทิ้งร่องรอยความรุ่งเรืองเหล่านี้ไว้ตามอารยธรรมอื่นๆแม้กระทั่ง อารยธรรมของมนุษย์ยุคใหม่ในศตวรรษที่ 20
..........เริ่มต้นจากการรู้จักใช้เครื่องมือจากหินเมื่อ 2 ล้านปีก่อน และธำรงชีวิตอย่างลุ่มๆดอนๆมาจนกระทั่งอารยธรรมสุเมเรียนผุดขึ้นมาเมื่อ ประมาณ 3800 ปีก่อนคริสตกาล มันเรืองโรจน์เสียจนนักโบราณคดีประหลาดใจไปตามๆกัน ไม่มีร่องรอยของการวิวัฒน์ให้สืบสาว ไม่มีใครรู้ว่ามนุษย์พวกนี้ไปเอาความรู้ที่ไม่มีร่องรอยของการสั่งสมเหล่า นี้มาจากที่ใด จากใคร และเมื่อใด
...เหมือนกับจู่ๆอารยธรรมนี้ก็ผุดขึ้นบนโลกมนุษย์ของเรา?
..........อะไรคือสาเหตุของการพัฒนาอย่างปุบปับในด้านอารยธรรม? ในเมื่อหลายหมื่นหรืออาจจะเก่าไปจนถึงล้านปีก่อนนั้นพัฒนาของมนุษย์เป็นไป อย่างเชื่องช้า ความเป็นอยู่ของพวกเขาล้าหลัง ป่าเถื่อน และเจริญพอๆกับลิง อะไรที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปอย่างปุบปับ
..........จากมนุษย์ถ้ำมาเป็นมนุษย์ยุคพริมิทิฟที่ยังชีพด้วยการล่า สัตว์ หาของป่า จากนั้นพวกเขารู้จักทำเกษตรกรรมและเครื่องปันดินเผา และหมัดเด็ดของการพัฒนาจากชุมชนขึ้นมาเป็นเมืองซึ่งเจริญล้นเหลือทั้งในด้าน วิศวกรรม คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ การผลิตโลหะ การพาณิชย์ ดนตรี กฏหมาย การแพทย์ ศาสนา และมาถึงขั้นสำคัญที่สร้างหลักฐานให้พวกเราได้สืบสาวราวเรื่องกัน ความเจริญสูงสุดในแง่ของศิลปะและวรรณคดี
..........ทั้งหมดนี้นักโบราณคดีมึนหัวตึบเพราะตอบไม่ได้ว่าชาวสุเมเรียนเอาความ เจริญพวกนี้มาจากไหน ทั้งที่ชาวสุเมเรียนระบุเอาไว้อย่างชัดเจนถึงที่มาของอารยธรรมอันรุ่งเรือง นี้ว่า
...เอามาจากพระเจ้า
..........เห็นท่าจะจริง พิศจากหลักฐานที่เรามีอยู่ ทุกอย่างของชาวสุเมเรียนดูมหัศจรรย์ไปเสียหมด ราวกับว่าจู่ๆพระเจ้าก็ทรงประทานทุกอย่างมาให้พวกเขาเสียอย่างนั้น ข้อเท็จจริงอีกประการก็คือ บันทึกของชาวสุเมเรียนที่เราขุดค้นกันได้นั้น ส่วนใหญ่เน้นแล้วเน้นอีกว่าผลผลิตแห่งความรู้เหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้า ประทานให้
พระเจ้าซึ่งครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมีย ปกครองชนพื้นเมืองเยี่ยงราชาของมนุษย์ปุถุชน มาถึงตรงนี้แล้วสงสัยไหมครับว่า พระเจ้าของชาวสุเมเรียนเป็นใครและมาจากไหน?
และ
.........."นักโบราณคดีค้นพบว่าชาวฮิตไทต์โบราณนั้นมีสัญลักษณ์ของพระเจ้าเป็นรูปของ สวรรค์และโลก โครงสร้างนี้มีความสัมพันธ์และถูกจัดเรียงอย่างเป็นลำดับขั้น เทพบางองค์ในจำนวนเทพอันมากมายของชาวฮิตไทต์ถูกจัดให้เป็นพระเจ้าโบราณซึ่ง เดินทางมาจากสรวงสวรรค์ "
แหล่งอ้างอิง
http://www.thaibiohazard.com/forum/viewtopic.php?p=205483