เรื่องนี้มันมาจากไหน หรือเป็นเพียงนิยาย ? .........เพลโตเล่าว่าเรื่องราว ของ แอตแลนติส ได้มาจากการรับฟังมาจาก โซลอน (หนึ่งในเจ็ดเปรื่องปราดชาวกรีก และเป็นวีรบุรุษในด้านความสัตย์และนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนอื่นเชื่อว่านครนี้มีอยู่จริง) ซึ่งโซลอนรับฟังเรื่องนี้จาก ซอนคิส พระชาว อียิปต์อีกต่อหนึ่ง โซลอนไปได้เรื่องนี้มาระหว่างเดินางท่องเที่ยวหลังจากออกจากราชการไปยังเมืองซาอีส์ ซึ่งอยู่ แถวปากแม่น้ำ ไนล์ใน อียิปต์ อันเป็นศูนย์กลางอารยธรรมแห่งหนึ่งของโลก
.........เรื่องนี้เกิดเมื่อราว 600 ปีก่อน คริสตกาล ซอนคิสเอาบันทึก หลักฐานเกี่ยวกับอียิปต์โบราณ (ซึ่งปัจจุบันนี้สูญหายไปแล้ว) มาให้โซลอนดู แล้วเรื่องราวของแอตแลนติส เมื่อ หลายพันปีก่อนก็พรั่งพลูออกมา หนังสือของเพลโต้เลย เหลือเป็นหลักฐาน เพียงอย่างเดียวที่พูดถึงแอตแลนติส
.........ความที่มันเป็นบทสนทนานี่เองเลยทำให้แยกแยะลำบากว่าตรงไหนจริง ตรงไหนฝอยเพิ่ม แต่อย่างน้อยๆ ก็มีคน ที่เชื่อว่าแอตแลนติส เป็นเรื่องกุขึ้น คนๆนั้นก็คือ อริสโตเติ้ลลูกศิษย์ เอกของเพลโต้นั่นเอง จนความเคลือบแคลงนี้ก็ยืดเยื้อออ..มานับศตวรรษแล้ว
สรุปคือปัญหาใหญ่ๆเกี่ยวกับแอตแลนติส มีดังนี้
1.มันจริงหรือเปล่า
2.ถ้ามี มันควรจะอยู่ที่ไหน
3.อาณาจักรแห่งนี้มีโอกาส โผล่ขึ้นมา ให้เราเห็นกันได้หรือไม่?
ภาพ : แผนที่แอตแลนติสของเพลโต้
ต่อไปนี้คือเรื่องเล่าที่เล่าต่อๆกันมา .........ในระยะเวลากว่า 9,000 ปีก่อนคริสตกาล ลิเบีย (ทวีปแอฟริกาทั้งหมด ยกเว้นอียิปต์) ยุโรปจากสเปนถึงอิตาลีตก อยู่ภายใต้การปกครองของแอตแลนติส ทวีปเกาะที่อยู่ทางตะวันตกของเสาหินแห่งเฮอราคลิส (ชื่อเดิมของช่อง แคบยิบรอลตาร์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน)
.........ชาวแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของ โพไซดอน (เทพเจ้าแห่งทะเล) และตั้งชื่อเกาะตามชื่อของยักษ์แอตลาส ลูกชายคนหนึ่งของโพไซดอน ชาวประชาอยู่อย่างสุขสงบหลายพันปี ต่อมาทำสงครามกับยุโรปและเอเซีย โดยเฉพาะกรีก หลังจากนั้นไม่นาน ดินแดนเกริกไกรแห่งนี้ก็กลับ ล่มสลายไปภายในชั่ววันกลับคืนเดียวเพราะน้ำท่วม แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด "บริเวณใจกลางเกาะเป็น ที่ราบซึ่งกล่าวกันว่าสวยงามและอุดมสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาที่ราบทั้งปวง ในที่ราบนี้มีเนินเขาลูกหนึ่งขนาด ไม่ใหญ่นัก ประมาณ 50 สเตด(Stade) หรือ 6 ไมล์หรือ 10 กิโลเมตร นอกจากเกาะที่อยู่ใจกลางแล้ว ถัดออกมา ยังมีผืน น้ำเป็นรูปวงแหวนคั่นระหว่างแผ่นดินด้วย
.........ว่ากันว่าเทพโพไซดอน เป็นผู้ขุดคลองรูปวงแหวนเหล่านี้ ทำให้มีลักษณะคล้ายคูเมือง แรกๆดินแดนที่ถูกคั่นนี้ไปมาหาสู่กันไม่ได้ เพราะยังไม่รู้จักเรือและการแล่นเรือ ต่อมาเกิดผืนดินเล็กๆเชื่อม และชนรุ้นหลังก็รู้จักทำอุโมงค์และแล่นเรือ บริเวณใจกลางเกาะเป็นสถาน ที่ สักการะ เทพโพไซดอนกับไคลโต(มเหสีชาวมนุษย์โลก) มีกำแพงทองล้อมรอบเป็นเขตหวงห้าม
.........นอกจากนี้ยัง มีวิหารของโพไซดอนอีกแห่งหนึ่งต่างหาก ตัววิหารฉาบด้วยเงิน ตัวเทวรูปเป็นทอง รอบๆวิหารเป็นรูปปั้น ของ กษัตริย์องค์ต่อมาอีก 10 องค์พร้อมมเหสี มีน้ำพุใต้ดินสองแห่ง แห่งหนึ่งร้อน อีกแห่งหนึ่งเย็น ใช้เพราะปลูกกับ อาบ และกิน ที่อยู่อาศัยแบ่งเป็นสัดส่วนสำหรับราชวงค์ ชาวบ้านธรรมดา ผู้หญิง ม้าและสัตว์เลี้ยงอื่นๆ น้ำจาก น้ำพุถูก ลำเลียงส่งไปยังบริเวณเพราะปลูกที่เรียกว่า Grove of Poseidon
.........และส่งต่อไปยังพืนดินรอบๆนอก บนผืนดินที่เป็นวงแหวนล้อมรอบยังมีวิหารมากมายสำหรับบูชาเทพเจ้าต่างๆ สวนหย่อนใจ โรงยิม และสนามม้า สำหรับให้ออกกำลังกาย และยังมีท่าจอดเรือชั้นในด้วย รอบนอกสุดของดินแดนนี้ล้อมรอบด้วยกำแพง ห่างจาก วงแหวนในสุดประมาณ 50 สเตด เป็นกำแพงที่หนาแน่นมาก มีส่วนหนึ่งจดหน้าผาริมทะเล ตรงนี้เป็นเขต ชุมชนหนาแน่นรอบนอก ท่าเรือมีเรือสินค้าจากแดนไกลมาจอดเทียบ ทำให้คึกคักมากตลอดทั้งวันทั้งคืน
มีนักกฎหมาย นักการเมืองและนักค้นคว้า ชาว อเมริกันชื่อ อิกนาเทียส ดอนเนลลี่ ตีพิมพ์หนังสือชื่อ Atlantis : The Antediluvian World เปรี้ยงออกมา บอกว่าแอตแลนติส ก็คือ เกาะอซอเรส ในกลางมหาสมุทรแอตแลนติส ใกล้ๆช่องแคบยิบรอลตาร์นี่แหละ (ตำแหน่งตามคำบอกเล่าของเพลโต้)
.........ทฤษฎีของดอนเนลลี่ทำเอาวงการนักแอตแลนติสวิทยาปั่นป่วน เพราะถูก ข้อมูลเล็กๆน้อยๆที่นำมาปะติดปะต่อกันระดมยิงอุตลุด ทฤษฎีนี้จึงค่อนข้างมีอิทธิพลกับความเชื่อของคนมาก ดอนเดลลี่ยังพยายามพิสูจน์ว่า แอตแลนติส ก็คือดินแดนที่ถูกนำไปกล่าวอ้างอิงใน เทพนิยายและตำนาน ของชนชาติต่างๆ เป็นสวนสวรรค์แห่งอีเดน เป็นยุคทองของมนุษย์ชาติที่มีความเจริญทางอารยธรรมสูงมาก
......... เป็นต้นตอของภาษาตัวอักษร เข็มทิศ การเดินเรือ ดินปืน กระดาษ ผ้าไหม ดาราศาสตร์ การเกษตร และเป็น บรรพบุรุษของชนเผ่าต่างๆหลายเผ่าทั่วโลก ก่อนยุคน้ำท่วม แต่ถูกภัยพิบัติธรรมชาติทำลายให้จมลง มีคนเพียงไม่กี่กลุ่มที่รอดชีวิตมาได้ กระจัดกระจายไปสู่ดินแดนต่างๆ ทำให้มีตำนานเรื่องน้ำท่วมเล่าสืบต่อกันมา
ทฤษฎีของดอนเนลลี่บอกว่า -แอตแลนติสในอดีตอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก ตรงปากทางเข้าทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
-แอตแลนติสเป็นดินแดนที่เริ่มมีมนุษย์เผ่าแรกเกิดขึ้น และพัฒนาจากความเป็นคนเถื่อนสู่อารยธรรมขั้นสูง
-อาณานิคมเก่าแก่ของชาวแอตแลนติส บางทีอาจ จะเป็นอียิปต์ก็ได้
-แอตแลนติสเป็นแหล่งกำเนิดของอักษรฟีนิเชียนและอักษรของทางยุโรป
-แอตแลนติสคือแหล่งกำเนิดต้นตระกูลของมนุษย์เผ่าอารยัน อินโดยูโรเปียนและเซมิติค
-ดินแดน แอตแลนติสสูญสลายไป เนื่องจากภัยพิบัติธรรมชาติ ทำให้เกาะทั้งเกาะที่มีพื้นที่กว่า 400,000 ตารางไมล์จมลง
( ในหนังสือ I found Atlantis ของ Henry B. Ambrose เสนอว่า แอตแลนติสจริงๆอาจจะอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ)
.........จากหนังสือของดอนเนลลี่เองมีส่วนผลักดันให้เกิดการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่น สมุทรศาสตร์ ชีววิทยา ธรณีวิทยา โบราณคดี ดาราศาสตร์ ฯลฯ เพื่อหาข้อมูลมาสนับสนุนหรือโต้แย้งหรืออธิบายเกี่ยวกับแอตแลนติส
......... จากข้อความบางส่วนของดอนเดลลี่กล่าวว่า จากการตรวจสอบดูพืชและสัตว์ที่มีอยู่ตามผืนแผ่นดิน 2 ด้านระหว่าง มหาสมุทรแอตแลนติสแล้ว พบว่าเป็นแบบเดียวกัน ตามหลักนิเวศน์วิทยา แสดงว่าแต่ก่อนนี้ต้องมีดินแดน ที่เชื่อมระหว่างผืนแผ่นดิน 2 ส่วนนี้มาก่อน ก็มีคนโต้แย้งว่าไม่จำเป็นเลย เพราะอาจจะมีการอพยพ เมล็ด พันธุ์พืชก็อาจปลิวไปตามลม หรือถูกกระแสน้ำพัดพาไปหรือลอยติดไปกับซากสิ่งของในทะเล ไปยังที่ต่างๆ
.........สำหรับพฤติกรรมแปลกประหลาดในการอพยพของปลาไหลยุโรปนั้น ดอนเนลลี่บอกว่า ปลาไหลยุโรปเหล่า นี้มีแหล่งกำเนิดในทะเลซาร์กัสโซ ซึ่งเป็นทะเลสาหร่ายมหึมาและอุดมสมบูรณ์มาก อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของมหาสมุทรแอตแลนติกใกล้ กับเขตสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (อยู่ห่างจากเกาะอซอเรสไปทาง ตะวันตกเฉียงใต้ เล็กน้อย)
.........บริเวณนี้เป็นเขตน้ำอุ่นกว้างใหญ่ใกล้ฝั่งอเมริกา ในช่วงที่เป็นตัวอ่อน ฝูงปลาไหลจะแหวกว่าย จาก ทะเลซาร์กัสโซนี้ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ไปยังเขตน้ำจืดตามแม่น้ำชายฝั่งยุโรป หลังจากนั้น 2 ปีจึงว่าย กลับไปวางไข่ ผสมพันธุ์ยังทะเลซาร์กัสโซอีก ทั้งที่ฝั่งอเมริกาก็อยู่ใกล้แค่นั้น แต่ทำไมฝูงปลาไหลจึงต้องท่อ สังขารฝ่าอันตรายไปถึงยุโรป นี่คงเป็นเพราะสัญชาตญาณที่มีมาแต่กำเนิด ถ่ายทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษ ปลา ไหล ตอนที่ยังมีเกาะแอตแลนติสอยู่นั้น กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม จากฝั่งอเมริกาเคลื่อนไปทางยุโรป โดยมีส่วน หนึ่งวนกลับมาที่เดิม สู่ทะเลซาร์กัสโซ เพราะไปปะทะกับชายฝั่งเกาะแอตแลนติส เมื่อเกาะนี้จมหายไป ฝูงปลา ไหลเลยปรับตัวไปตามกระแสน้ำอุ่นสู่ยุโรป ขากลับก็อพยพกลับมาตามกระแสน้ำเย็นที่อยู่ลึกลงมาข้างล่าง
.........นี่ก็เท่ากับให้กระแสน้ำช่วยพัดพาทั้งขึ้นทั้งล่อง และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับสัตว์อื่นๆแล้ว การอพยพของ ปลาไหลยุโรปก็ไม่ได้จัดว่าแปลกมหัศจรรย์ ไปกว่าการอพยพของนก กวางเรนเดียร์ เต่า ผีเสื้อ ตั๊กแตน ปลาวาฬ หรือสัตว์อื่นๆเลย
คําพยากรณ์ของเอ็ดการ์ เคซี ...ทวีปแอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดิน
รัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลก
ชนชาติทีอาศัยอยู่บนทวีปแอตแลนติส
เป็นชนชาติผิวแดงที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ
ผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาาพอย่างดียิ่ง
มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งปวง
รวมทั้งงานด้านประติมากรรม วิศวกรรม
และสถาปัตยกรรมด้วย
โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น
เคย์ซีได้บันทึกไว้เป็นคำพยากรณ์ในบทที่ 2794-L-1
โดยสรุปว่า ชาวแอตแลนติสมีความรู้
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์
และจิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้
รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียม
รู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิต
คลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้
สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงาน
มหาศาลจากผลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง
ซึ่งสามารถรวมเอาพลังธรรมชาติ
ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาล
เข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่า
ความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์
ของชาวแอตแลนติสนั้น อาศัยพลังงาน
แสงอาทิตย์เป็นสำคัญ
วัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนา
ตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา
เริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์
และเทพเจ้า
วัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติส
หายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติ
ครั้งใหญ่ ดินแดนของมหาอาณาจักรเกิด
สั่นสะเทือน และได้ถล่มทลายลงไป
ใต้ทะเล ภายในชั่วคืนกับชั่ววัน ครั้งนั้นเมื่อ
ปี 9,500 ก่อนคริสต์กาล ชาติแอตแลนติสก็
หายไปจากโฉมหน้าของโลก
เคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์
มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ
ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อม
มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก
จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง
และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง
หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่น ๆ
มหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญ
ก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเรา
สมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้า
มากกว่า พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอา
พลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วน
ที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผล
ทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของ
มหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลก
ได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซี
ทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตก
ของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้ ๆ
บริเวณหมู่เกาะบาฮามา
ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่า
คำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริง
คือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ ๆ
หมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต
ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรม
และสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่
พอ ๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว
ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหาม
ขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะไม่ทำได้
เรียบร้อยและปราณีตเช่นนั้น
เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่า
ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้
มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่
ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้
ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก
เคย์ซีกล่าวว่า
ในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ
10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรม
เกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง
ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติส
อยู่ระหว่างช่วงนับจาก 200,000 ลงมา
จนถึงปี 10,700 ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่
ช่วงเวลาประมาณ 13,000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไป
คือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80,000-
900,000 ปี
นี่ก็เป็นคำพยากรณ์บางส่วนของ
เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่ทำนายอดีตของโลกเรา
ย้อนหลังไปหลายแสนหลายล้านปี
ซึ่งความเป็นจริงในสิ่งที่เขาพยากรณ์ไว้นั้น
ต้องรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโลก
ปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดในอนาคต
ที่มา
http://www.thaisamkok.com/forum/index.php?s=b2ff86f38881d8ce08f554ee80e4d6ba&showtopic=8003&mode=linearแอตแลนติสจากการอ่านของโหรเทวดา "เอ็ดการ์ เคซี" โดย รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย จาก หนังสือมังกรจักรวาล ภาค 2
ภาพ : เอ็ดการ์ เคซี ผู้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด (1877-1945)
.......... ตลอดช่วงเวลาสองแสนห้าหมื่นปี อียิปต์ยังเป็นดินแดนอยู่ใต้ทะเล อยู่เหนือพ้นน้ำก็มีทะเลทรายซาฮาร่า กับดินแดนตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์
.......... เมื่อดินแดนอื่นๆเริ่มผุดขึ้นมาเป็นแผ่นดิน ก็ยังเวลาอีกนาน ที่อียิปต์จะกลายเป็นพื้นที่ที่คนอยู่อาศัย
.......... คนเผ่าแรกที่มาอาศัย เป็นคนผิวดำ อาศัยอยู่บริเวณตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์ หลังจากนั้น ก็มาถึงยุคของพระเจ้าไร ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองอียิปต์ พระองค์มีพระปรีชาสามารถมาก เกี่ยวกับเรื่องทางจิตวิญญาณ เข้าใจเกี่ยวกับกฎของจักรวาล และพระองค์ได้ทรงพยายามอย่างยิ่ง ที่จะให้ประชาชน เข้าใจในเรื่องเหล่านี้ด้วย เพื่อให้มนุษย์เป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง
.......... พระองค์ทรงทราบเรื่องนี้จากการศึกษาธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับจักรวาล วิวัฒนาการของมนุษย์เป็นวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณขั้นตอนต่างๆ
.......... คำสอนต่างๆของพระองค์ ได้ถูกบันทึกไว้ในแผ่นหินและแผ่นไม้ กลายเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มแรกๆ ที่มีผู้รู้จักในชื่อ "คัมภีร์มรณะอียิปต์" พระเจ้าไรปกครองอียิปต์เป็นเวลา 199 ปี จนคนรุ่นหลังๆบูชาพระองค์เป็น "เทพเจ้า" องค์หนึ่ง แต่การปกครองของพระองค์มิได้ต่อเนื่อง เพราะถูกรุกราน จนพระองค์ต้องเสียราชบัลลังก์
.......... การถูกรุกรานเกิดขึ้นเมื่อ 11,016 ปี ก่อนคริสต์กาล หรือราวๆ 300 ปี ก่อนที่จะเกิดการระเบิดครั้งสุดท้ายในทวีปแอตแลนติส (ซึ่งเป็นผลให้แอตแลนตีสจม)
.......... มีชนผิวขาวกลุ่มใหญ่ โดยการปกครองของพระเจ้าอารีท บุคคลผู้นี้มีความเลื่อมใสในพระหนุ่มรูปหนึ่ง ที่มีความสามารถดุจผู้วิเศษ ชื่อราตะ พระราตะได้ทำนายไว้ว่า ชาวเผ่าซูที่อพยพมาจาก อารเบีย จะรุกร้ำเข้ามาในอียิปต์ และต่อไปรัฐอียิปต์จะเป็นรัฐชั้นนำแห่งยุค เมื่อได้ฟังคำทำนายนั้น พระเจ้าไรก็เอาแต่หมกมุ่นค้นคว้าในเรื่องอภิปรัชญา ไม่ใส่ใจกับการปกครองบ้านเมือง
.......... จึงทำให้พระเจ้าอารีท ยึดอียิปต์ได้โดยง่าย อย่างแทบจะไม่มีการต่อต้าน ส่งผลให้ ทั้งสองประนีประนอมกัน พระเจ้าไรก็ยอมสละราชบัลลังก์ให้พระเจ้าอารีท โดยยกธิดาโฉมงามของพระองค์ ให้เป็นพระชายา และสละราชสมบัติให้แก่ราชบุตรของพระองค์ชื่ออารารัท โดยพระองค์หันมาเป็น ที่ปรึกษาคอยค้ำบัลลังก์ ให้แก่ราชบุตรของตนแทน
.......... ต่อมา ก็มาถึงยุคการปกครองของอารารัท ได้มีชาวแอตแลนติสอพยพมาอยู่อียิปต์เป็นจำนวนไม่น้อย คนเหล่านี้มีความสามารถสูง ทะเยอะทะยาน จนพระองค์ต้องยกตำแหน่งสำคัญๆทางการเมืองให้แก่ชาวแอตแลนติส เพื่อมิให้คนเหล่านี้คิดการกบฏ
.......... ฝ่ายพระราตะ(โหร) ได้รับความไว้วางใจให้เป็นสังฆราชแห่งอียิปต์ มีหน้าที่ในการค้นคว้าเรื่องของจิตวิญญาณ และอภิปรัชญาต่างๆ เพื่อนำมาเผยแพร่แก่ประชาชน
คำสอนของพระราตะมีดังนี้
.......... สอนให้รู้ถึงกฎแห่งกรรม กฎของเหตุและผลตามระดับจิตวิญญาณ พร้อมบอกถึงการเวียนว่ายตายเกิดไปสู่ภพภูมิอื่นของจิตวิญญาณมีจริง และที่สำคัญ สอนว่า พระเจ้ามีจริง และพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นคำสอนที่ขัดแย้งความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น ชาวอียิปต์ส่วนมากจึงมิได้ ใส่ใจเท่าไหร่ พระราตะชี้แนะว่า มนุษย์สามารถเร่งความเร็วให้กับวิวัฒนาการทางกายภาพ และจิตวิญญาณได้ เพื่อเป็นการฝึกฝนตนได้
.......... พระราตะได้สร้างวิหาร ซึ่งเป็นแหล่งบำบัดสุขภาพของประชาชน โดยเรียนรู้มาจากชาวแอตแลนติส ชื่อเฮปซาฟ ที่เป็นผู้นำทางจิตฝ่ายธรรมะของแอตแลนติสส่วนข้างน้อย วิหารที่สร้างขึ้น มีการรักษาผู้ป่วย นันทนาการต่างๆ แต่สิ่งที่พระราตะเน้นก็คือ "การทำสมาธิ" เพื่อสัมผัสโดยตรงกับพลังของพระเจ้า ที่ประทับอยู่ในร่างกายคน จุดประสงค์ของการตั้งสถานบำบัดสุขภาพ ของพระราตะก็เพื่อ ขจัดกิเลสทางร่างกายและวัตถุที่มีมากเกินไป ให้หมดไปจากใจ เพราะสิ่งนี้คือข้อบกพร่องทางกายภาพของมนุษย์ ในทัศนะของ "ราตะ"
.......... ดนตรีก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ที่สามารถช่วยปรับเปลี่ยนคลื่นความคิดของใจผู้ฝึก ให้สอดคล้องกับพลังจักรวาลที่ไหลผ่านกระดูกสันหลังได้ ครั้นพระราตะแก่ตัวลง ก็เริ่มมอบอำนาจของตัวเองให้แก่ศิษย์ที่ไว้ใจได้ และหาเวลาในการท่องไปในการแสวงหาความรู้ในอภิปรัชญาต่างๆ โดยในช่วงที่พระราตะไม่อยู่ ได้มีกลุ่มการเมืองซึ่งเป็นชาวแอตแลนตีส ที่กระหายในอำนาจ ได้วางแผนกำจัดพระราตะ โดยใส่ร้ายว่า พระราตะทำผู้หญิงท้อง พระเจ้าอารารัท หลงเชื่อในคำยุยง ได้เนรเทศพระราตะไปอยู่เมืองชายแดน แต่เมื่อความจริงกระจ่าง ชาวเมืองอียิปต์จึงเชิญพระราตะ กลับมาดังเดิม
.......... ช่วงนี้เอง ที่พวกผู้นำของอียิปต์ ตัดสินใจที่จะสร้างปิระมิด กับสฟริงส์ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บความรู้ บันทึก และหลักวิชาศาสตร์ต่างๆที่เร้นลับของแอตแลนติส กับพระเจ้าไรและพระราตะ ให้ปลอดภัย และอยู่นานเท่านาน
.......... เพราะเขารู้ว่า โลกใบนี้จะต้องเผชิญกับการ "เคลื่อนย้ายของแกนโลก" เหมือนอย่างในยุคของแอตแลนติส จึงตัดสินใจสร้างและเลือกที่ราบกีเซนี้ เป็นที่ตั้ง เพราะอยู่สูงปลอดภัยจากน้ำท่วม
.......... สถานที่เก็บความรู้เร้นลับของชาวแอตแลนติสนี้ อยู่ในห้องลับ ที่เชื่อมระหว่างมหาปิระมิดกับสฟริงส์ โดยมีทางเข้าใต้ดินอยู่ที่ด้านขาหน้าข้างขวาของสฟริงส์ มหาปิรามิดถูกสร้างขึ้นในปี 10,490 ก่อนคริสต์กาล ใช้เวลาก่อสร้าง 100 ปีเต็ม โดยผู้รับผิดชอบเรื่องนี้คือ เฮลเมส ที่เป็นชาวแอตแลนติส
วิธีการสร้าง .......... ในการสร้างมหาปิรามิดนั้น ได้มีการประยุกต์กฎของธรรมชาติและจักรวาลมาใช้ ทำให้สามารถต้านแรงดึงดูด ยกหินก้อนโตให้ลอยขึ้นในอากาศได้ โดยการส่งเสียงมนตร์บางประโยค แล้วทำให้ก้อนหินลอยขึ้นมาจากพื้นได้ ก้อนหินที่นำมาสร้างปิรามิด ขนมาจากแดนไกล ที่ชื่อนูเบีย ยอดปิระมิดทำจากโลหะผสมระหว่างทองแดงกับทองคำ (แต่ต่อมาได้ถูกขโมยไป)
.......... ที่สำคัญ มหาปิรมิดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ บันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ที่เป็นวัฏจักร ตั้งแต่จากยุคของราตะจนถึงปี ค.ศ. 1998 เพราะวัฏจักรของโลกในรอบนี้จะมาสั้นสุดที่ปี ค.ศ.1998 ตาม "การอ่าน" ของเอ็ดการ์ เคซี่ ซึ่งเขายังได้กล่าวต่อไปจากสิ่งที่เขาอ่านจาก "บันทึกจักรวาล"(เส้นแสงจักรวาล) ว่าประวัติศาสตร์แห่งอนาคต ที่ถูกบันทึกไว้ในปิรามิด ในรูปสัญลักษณ์ตัวเลข วิชาดาราศาสตร์และวิชาภูมิศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อวัฏจักรของโลกในรอบนี้สิ้นสุดลง พร้อมกันนั้น วิชาเร้นลับที่กล่าวไว้ในคำทำนายทั้งหลาย ก็จะเผยโฉมออกมา ห้องต่างๆที่อยู่ในปิรามิดขุดพบหมดแล้ว เว้นเสียแต่ ห้องที่เป็นสถานที่เก็บความรู้ศาสตร์ต่างๆของแอตแลนติส
.......... เอ็ดการ์ เคซี่ เริ่ม "อ่าน" เรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติสจาก "บันทึกจักรวาล" ในขณะที่เขาเข้าสู่ภวังค์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1923 และก็อ่านเรื่อยมา เป็นเวลา 23 ปีเต็ม
.......... อิทธิพลของชาวแอตแลนติส ที่กลับมาเกิดในยุคนี้ ส่งผลใหญ่หลวงต่ออารยธรรม ในยุคต้นๆของชาวแอตแลนติส "มนุษย์"กับ "เทพ" มีความแตกต่างกันไม่มาก เพราะมนุษย์ สมัยนั้น มีตาที่สาม สามารถพัฒนาต่อมไพนิลในสมองจนมีพลังจิตมีฤทธิ์เดชต่างๆ แต่เมื่อมนุษย์ยอมแพ้ต่อกิเลส ศีลธรรมเสื่อม โศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้นกับชาวแอตแลนติส 3 ครั้ง
.......... ครั้งแรก ราวๆ 50,700 ปีก่อนคริสต์กาล เพราะมนุษย์นำสารเคมีมาทำเป็นระเบิด ขับไล่สัตว์ร้ายจนก่อให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไประเบิด ทำให้แกนโลกเอียง เข้าสู่ยุคน้ำแข็ง
.......... ครั้งที่สอง ราวๆ 28,000 ปีก่อนคริสต์กาล เกิดน้ำท่วมใหญ่ ที่คำภีร์ไบเบิลบอกว่า เป็นยุคของโนอาห์ โดยมีสาเหตุมาจาก การใช้พลังคริสตัล เป็นพลังค้ำจุนอารยธรรมมากเกินไป จนเกิดภูเขาไประเบิดและแผ่นดินไหว
.......... ครั้งสุดท้าย ราวๆ 10,700 ปีก่อนคริสต์กาล แต่คราวนี้พวกผู้นำทางจิต ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในหมู่ชาวแอตแลนติส ได้มองเห็นเหตุกาล จึงได้อพยพ และนำความรู้และศาสตร์ต่างๆ มาเก็บไว้เพื่อมิให้สูญหาย วิชาเหล่านั้นในยุคของเรา รู้จักกันในชื่อของ "โยคะ" "ตันตระ" "เต๋า" และ "พราหมณ์" นั่นเอง